CONTENT VIEW

ภูมิแพ้...ภัยใกล้ตัว


“ในระยะเวลา 40 ปี ประเทศไทยมีรายงานอุบัติการณ์โรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น 3-4 เท่า ได้แก่ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้  ร้อยละ 23-30 โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคหืดร้อยละ 10-15 โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 15 และโรคแพ้อาหารร้อยละ 5 โดยอุบัติการณ์ในเด็กจะสูงกว่าในผู้ใหญ่คือ พบเด็กที่มีภาวะโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มากถึงร้อยละ 40”

 

          หลายปีที่ผ่านมานี้มีคนไข้มาหาหมอด้วยโรคภูมิแพ้เป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี ทั้งคนรู้จัก  เพื่อน ญาติสนิท หรือแม้แต่หมอเองก็ยังเป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งก็สอดคล้องกับผลการรวบรวมสถิติการเกิดโรคค่ะ  ในระยะเวลา 40 ปี ประเทศไทยมีรายงานอุบัติการณ์โรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น 3-4 เท่า ได้แก่ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้  ร้อยละ 23-30  โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคหืดร้อยละ 10-15 โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 15 และโรคแพ้อาหารร้อยละ 5 โดยอุบัติการณ์ในเด็กจะสูงกว่าในผู้ใหญ่คือ พบเด็กที่มีภาวะโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มากถึงร้อยละ 40

          จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่ไม่ได้รับการรักษาจะมีคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่กว่าคนปกติ เช่น มีอาการคัดจมูกในเวลากลางคืนทำให้นอนอ้าปากหายใจ จึงตื่นมาด้วยอาการปากแห้ง รู้สึกเหมือนนอนหลับไม่สนิท คุณภาพการนอนหลับลดลง ทำให้ร่างกายไม่สดใสตื่นตัว  และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ อย่างเช่นโรคไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก หูชั้นกลางอักเสบ หรือนอนกรน  แล้วเราจะทำอย่างไรให้ผู้ป่วยโรคนี้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติหรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกับโรคที่เป็นอยู่  หมอจึงขออธิบายข้อมูลเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้และโรคอื่นที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจกันก่อนนะคะ

 

โรคภูมิแพ้คืออะไร 

           โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่เกิดจากภาวะร่างกายตอบสนองต่อสารกระตุ้น (โดยในภาวะปกติแล้วจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย อย่างเช่น พวกไรฝุ่น ละอองเกสรพืช) แล้วเกิดการตอบสนองมากผิดปกติจนทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้น เช่นถ้าเป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก เมื่อเราหายใจเข้าไปทางจมูกสารก่อภูมิแพ้จะไปสัมผัสกับเยื่อบุโพรงจมูกแล้วทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ทำให้คัดจมูก จาม มีน้ำมูกใสๆ คันจมูก

           ส่วนกรณีที่เป็นโรคหืดเมื่อหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าไปถึงหลอดลมก็จะทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม แล้วหลอดลมก็จะตอบสนองด้วยการหดเกร็ง ทำให้เกิดอาการของหลอดลมตีบขึ้น ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมงก็ได้ค่ะ โดยทั่วไปในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้มักมีแนวโน้มที่จะเกิดการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่ไม่ใช่สารก่อภูมิแพ้ไวกว่าปกติได้ เช่น ความเย็น ความร้อน ความกดอากาศต่ำ หรือฝน ความชื้น ซึ่งภาวะนี้อาจอยู่นานเป็นวันหรือเป็นเดือนก็ได้และสามารถเกิดอาการได้โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้

 

สาเหตุของโรคภูมิแพ้

           โรคภูมิแพ้เกิดจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม  โดยพบว่าถ้าบิดาหรือมารดาเป็นโรคภูมิแพ้จะทำให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณร้อยละ 30-50   แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้จะมีผลให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงร้อยละ 50-70   ในขณะที่เด็กที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้เลยมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพียงร้อยละ 10-15 เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ไขปัจจัยทางพันธุกรรมได้  ดังนั้นการกำจัดและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคืองต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ ไรฝุ่น ในผู้ป่วยและครอบครัวที่เป็นโรคภูมิแพ้ (ซึ่งมีความเสี่ยงสูง) จะสามารถลดอาการของโรคหรือป้องกันไม่ให้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นได้อย่างมาก

 

ชนิดของโรคภูมิแพ้

            เราสามารถแบ่งชนิดของโรคภูมิแพ้ตามระบบของร่างกาย ได้เป็น 4 กลุ่มคือ โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และโรคหืด  โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง  โรคภูมิแพ้ทางตา  และโรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรงที่มีอาการหลายระบบ (anaphylaxis)

 

โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และโรคหืด

           โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด โดยชนิดแรกจะมีน้ำมูกเป็นอาการเด่น คือมีน้ำมูกใสไหล จาม คันจมูก ชนิดที่สองจะมีอาการคัดจมูกเป็นหลักและมักไม่มีน้ำมูกหรืออาการจาม  ชนิดที่สามจะมีอาการของทั้ง 2 ชนิดรวมกัน คือมีทั้งน้ำมูกใสและคัดจมูก ส่วนชนิดสุดท้ายจะมีอาการที่วินิจฉัยยากถ้าผู้ตรวจไม่มีความชำนาญอาจวินิจฉัยผิดได้ค่ะ โดยในกลุ่มนี้อาจมีอาการไอเรื้อรังหรือกระแอม ซึ่งเกิดจากเสมหะไหลหรือซึมลงคอ อาจรู้สึกมีเสมหะติดคอเวลาเช้าได้ บางคนมีอาการปวดหัวเรื้อรัง นอนกรน หรือถอนหายใจบ่อยๆ ปากแห้ง บางคนมีอาการคันหัวตาโดยไม่มีอาการตาแดง อธิบายว่าเกิดจากการที่มีเยื่อจมูกบวมมากทำให้ท่อน้ำตาที่อยู่ติดกันอักเสบ เกิดอาการคันมากที่หัวตา อาการเหล่านี้สร้างความรำคาญและทรมานไม่น้อยเลยค่ะ โดยปกติการวินิจฉัยโรคนี้ต้องอาศัยการซักประวัติของผู้ป่วยอย่างละเอียด โดยเฉพาะประวัติโรคหรืออาการภูมิแพ้ภายในครอบครัว การสังเกตตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ สภาพลักษณะการทำงาน สภาพแวดล้อมภายในบ้าน ที่ทำงาน รวมทั้งการตรวจร่างกายบางอย่าง ถ้าพบก็จะมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรค เช่น การมีขอบตาล่างบวมคล้ำ  ซึ่งการตรวจภายในโพรงจมูกจะช่วยบอกถึงความรุนแรงของการอักเสบ และอาจบอกถึงโรคในโพรงจมูกที่มีผลต่อการรักษาโรคภูมิแพ้ได้ เช่น อาจพบการซีดหรือมีสีแดงจัดจากการอักเสบ

             ส่วนอาการของโรคหืดนั้น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการหืดกำเริบจะมีอาการไอเป็นชุดๆ บางครั้งมาด้วยไอเรื้อรัง แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด หายใจไม่เต็มอิ่ม เป็นหวัดแล้วเหนื่อยง่าย ออกกำลังกายแล้วเหนื่อย ทำให้คุณภาพชีวิตด้อยกว่าคนปกติ เช่น นอนไม่หลับ ต้องขาดเรียนบ่อย ทำงานได้ไม่เต็มที่ ไม่สามารถทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาได้ตามปกติ หรืออาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น หอบมากจนขาดออกซิเจนมีผลทำให้เสีย ชีวิตได้  สิ่งกระตุ้นให้มีอาการหืดกำเริบ ได้แก่ การติดเชื้อไวรัส การเป็นหวัด การได้รับสารก่อภูมิแพ้ การออกกำลังกาย เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ป่วยที่เป็นโรคหืดมักพบว่ามีอาการของโรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย ซึ่งหากไม่รักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ก็มีผลทำให้มีอาการหืดกำเริบได้ การวินิจฉัยโรคหืดในเด็กเล็กค่อนข้างยาก เนื่องจากไม่สามารถทดสอบสมรรถภาพปอดในเด็กเล็กได้ ต้องอาศัยประวัติที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาขยายหลอดลม หรือการให้ยารักษาโรคหืด

 

โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง

             โรคภูมิแพ้ทางผิวหนังที่พบบ่อย ได้แก่ ลมพิษและผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ โดยผู้ป่วยที่เป็นลมพิษจะเริ่มด้วยอาการคัน หลังจากนั้นจะมีอาการบวม ซึ่งเป็นได้ทั้งตัวโดยเฉพาะที่ถูกเกาหรือกดรัด มักเป็นๆ หายๆ อาการบวมอาจจะเป็นแบบตุ่มนูนที่มีขนาดแตกต่างกัน ส่วนใหญ่อาจดูคล้ายตุ่มยุงกัด แต่บางแห่งจะดูคล้ายแผนที่กระจายไปรอบบริเวณที่แพ้ โดยตรงกลางผื่นสีจะจางและไม่นูน ผื่นลมพิษนี้อาจมีลักษณะแตกต่างกันไป บางครั้งจะรวมกันเป็นปื้นหนา หรืออาจมีจุดขาวซีดๆ ตรงกลาง ขณะที่ขอบโดยรอบจะหนานูนแดง  ผื่นลมพิษจะเห่อเร็วและผื่นนั้นมักจะหายได้เอง โดยไม่มีร่องรอยหลงเหลือ แล้วก็จะย้ายไปขึ้นบริเวณอื่นได้อีก โดยมากผื่นจะหายไปใน 24 ชั่วโมง ถ้าเป็นนานเกิน 24 ชั่วโมงให้นึกว่าอาจจะเป็นโรคอื่น ในรายที่เป็นมากอาจมีอาการบวมของหนังตา ริมฝีปาก อวัยวะเพศ ทางเดินหายใจ ร่วมด้วยค่ะ

              ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ มักเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุขวบปีแรก โดยร้อยละ 80-90 ของเด็กที่เป็นโรคนี้มักมีอาการก่อนอายุ 7 ปี โดยผู้ป่วยจะมีอาการผื่นคันตามลำตัวและหน้า เป็นๆ หายๆ ผิวแห้งอักเสบ และมีอาการกำเริบเป็นระยะเมื่อได้รับสารกระตุ้น ในผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้จะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคหืดเมื่อเด็กโตขึ้น สำหรับสาเหตุที่สำคัญของโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังในเด็ก ได้แก่ แพ้อาหาร  โดยอาหารที่พบว่าแพ้ได้บ่อยในเด็กไทย คือ ไข่ นมวัว อาหารทะเล และแป้งสาลี รู้อย่างนี้แล้วพ่อแม่หรือผู้ปกครองควรสังเกตอาการหลังจากที่บุตรหลานของท่านรับประทานอาหารจำพวกนี้แล้วเป็นพิเศษนะคะ เพราะถ้ารู้ว่าแพ้อาหารชนิดใดจะได้หลีกเลี่ยงอาหารนั้นๆ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้แก่เด็กได้ค่ะ

 

โรคภูมิแพ้ทางตา

              โรคภูมิแพ้ทางตา เป็นการอักเสบที่เยื่อตาขาวและใต้เปลือกตา ผู้ป่วยจะมีอาการคันตา ตาแดง น้ำตาไหล แสบตา และมีขี้ตา โดยมักมีอาการช่วงได้รับสารกระตุ้น เช่น ฝุ่น ละอองเกสรหญ้า หรือขนสัตว์ ผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้ทางตามักพบร่วมกับอาการโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

 

โรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรงที่มีอาการหลายระบบ

            โรคนี้เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้นะคะ เพราะอาการแพ้จะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง รวดเร็วและมีอาการทางร่างกายหลายระบบร่วมด้วย โดยผู้ป่วยอาจมีอาการคัน ลมพิษ บวมที่หน้าหรือปาก แน่นในลำคอ จาม น้ำมูกไหล หายใจลำบาก บางรายอาจมีอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย ความดันโลหิตลดต่ำลง หมดความรู้สึก และอาจถึงแก่ชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

             ส่วนในรายที่เป็นโรคหืดอยู่เดิมอาจไปกระตุ้นให้โรคหืดกำเริบได้  ซึ่งสาเหตุที่สำคัญของโรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรงคือ ภาวะแพ้อาหาร ยา แมลงกัดต่อย ฉะนั้นผู้ป่วยที่มีภาวะแพ้ชนิดนี้ควรหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ และในรายที่เกิดอาการแพ้ที่รุนแรง เช่น ช็อก ผู้ป่วยควรมียาฉีดอะดรีนาลีน (adrenaline) พกติดตัวไว้ด้วยเสมอเพื่อเป็นการป้องกันตนเองจากอาการแพ้อย่างรุนแรงที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ค่ะ

             จากที่หมอเล่ามาทั้งหมดนี้คิดว่าน่าจะทำให้ผู้อ่านได้เห็นภาพรวมของโรคภูมิแพ้กันมากขึ้นเพื่อจะได้สามารถดูแลตัวเองและบุคคลใกล้ชิดในครอบครัวที่เป็นโรคภูมิแพ้ได้อย่างรู้เท่าทันค่ะ ในบทต่อๆไปจะเป็นการอธิบายถึงรายละเอียดของแต่ละโรคเพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้นค่ะ